โครงร่างวิจัย 3 บท
บทที่ 1
บทนํา
1. ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา
การเรียนภาษาจีนนั้นการจําตัวอักษรเป็นสิ่งที่ยากมาก เนื่องจากเราต้องจําเป็นตัวๆ ซึ่งหากศึกษาไปนานๆ จะสังเกตได้ว่าคําบางคําที่เราเรียน มี 2 ตัวอักษรประกอบกันเป็น 1 คํา ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกว่าเราทราบความหมายของคํานั้น แต่ถ้าแยกออกมาเป็นตัวอักษร เรากลับไม่รู้ความหมาย การเรียนภาษาจีนให้ได้ดีต้องจําให้ได้ถึงรากศัพท์เพราะเมื่อเรารู้ถึงรากศัพท์จะทําให้จําได้เพิ่มขึ้นหรือพอจะเดาความหมายได้จากคําที่เราไม่เคยเจอการจดจําคําศัพท์ภาษาจีนได้ นับว่าเป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่สําคัญมากอยางหนึ่งที่จะทําให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ภาษาจีนได้ดีและเป็นพื้นฐานที่จําเป็นในการเรียนรู้ในขั้นสูงขึ้นไป จากการสังเกตและจากการตรวจสมุดการบ้าน รวมถึงการร่วมกิจกรรมในห้องเรียนพบว่าที่นักเรียนไม่ประสบผลสําเร็จในการเรียนวิชาภาษาจีนก็เนื่องจากว่านักเรียนจําคําศัพท์ไม่ ่ได้ เมื่อให้นักเรียนท่องคําศัพท์นักเรียนส่วนใหญ่ท่องศัพท์ แบบนกแก้วนกขุนทอง หรือท่องเอาจํานวนมากๆไว้ก่อนไม่ได้คํานึงถึงว่าตัวเองจําได้หรือไม่หรือนักเรียนจําได้ แค่เฉพาะเวลาท่อง หลังจากนั้นก็จะลืม ผู้วิจัยจึงคิดหากลวิธีที่จะทําให้นักเรียนจดจําคําศัพท์ได้อย่างแม่นยําและสนใจในการจดจําคําศัพท์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงนําเรื่องการจดจําคําศัพท์มาทําวิจัยในครั้งนี้
2. จุดประสงค์การวิจัย
2.1 เพื่อพัฒนาทักษะในการจดจําคําศัพท์ภาษาจีนของนักเรียน โดยใช้ชุดฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีน
2.2 เพื่อวัดประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีนชุดนี้
3. ขอบเขตการวิจัย
3.1 นักเรียนกลุ่มเป้าหมายที่จะพัฒนาเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จํานวน 10 คน โรงเรียนท่าเรือพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561
3.2 ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การเรียนจากชุดฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีน ตัวแปรตาม ได้แก่ ชุดฝึกทักษะการจดจําภาษาจีน
4. ผลที่คาดวาจะได้รับ
4.1 สามารถพัฒนาทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการจดจํา คําศัพท์ภาษาจีน
4.2 ได้ชุดฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์ที่มีประสิทธิภาพ
5. ระยะเวลาในการวิจัย ดําเนินการวิจัยในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2561 ระยะเวลาตั้งแต่วันที่
3 พฤษภาคม- 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561 จํานวน 2 สัปดาห์ ๆ ละ 2 คาบ ๆ ละ 50 นาที
6. สมมุติฐานการวิจัย ทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนหลังการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีนสูงกว่าทักษะก่อนเรียน
7. ขั้นตอนการทําวิจัย
ที่ ขั้นตอนการทําวิจัย พ.ค. มิ.ย. หมายเหตุ
1 วิเคราะห์สภาพปัญหาการเรียนภาษาจีน
2 เขียนเค้าโครงการวิจัย
3 ออกแบบเครื่องมือการทําวิจัย
4 ดําเนินการวิจัย
5 รวบรวมผลการวิจัย
6 สรุปและประเมินผล
8. นิยามคําศัพท์เฉพาะ/คําจํากัดความที่ใช้ในงานวิจัยชุดกิจกรรมฝึกทักษะการจําคําศัพท์ภาษาจีน
หมายถึง ชุดการเรียนสําหรับใช้ฝึกทักษะทางด้านความจําคําศัพท์ภาษาจีนให้กับนักเรียนที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมี
จํานวน 2 ชุด
บทที่ 2
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การดําเนินการวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอนคําศัพท์
1.1 จุดมุ่งหมายในการสอนคําศัพท์
1.2 คําศัพท์ที่นํามาสอน
1.3 หลักการสอนคําศัพท์
2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับ
2.1 ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถด้านความจํา
2.2 เอกสารที่เกี่ยวกับความสามารถด้านความจํา
1.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอนคําศัพท์
1.1 จุดมุ่งหมายในการสอนคําศัพท์ การเรียนการสอนคําศัพท์ให้ประสบผลสําเร็จ ผู้สอนควรกำหนดจุดมุ่งหมายในการจัดการเรียน การสอนให้ชัดเจน คอร์ทไลท์และเวสโซเล็ก(courtright&Wesolek,2001) ได้เสนอว่า กิจกรรมการสอน คําศัพท์แบบปฎิสัมพันธ์Interactive vocabulary activities) ควรประกอบด้วยจุดมุ่งหมาย 3 ประการดังนี้
1.1.1 เพื่อเสนอคําศัพท์ หมายถึง การนําเสนอความหมายของคําศัพท์ การออกเสียงคําศัพท์
และวิธีการใช้
1.1.2 เพื่อขยายความรู้คําศัพท์ หมายถึง การแสดงการใช้รูปแบบของคําอย่างเหมาะสมกับ
บริบทต่างๆ ในการสอนคําศัพท์มีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนรู้ความหมายของคําศัพท์นั้นและสามารถนําคําศัพท์ไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยคต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ตามหลักไวยากรณ์และมุ่งหวังให้นักเรียนสามารถออกเสียงคําศัพท์ได้อย่าง ถูกต้อง ศิธร แสงธนู และคิ พงศทัต กล่าว (2521,39) ต้องให้ผู้เรียนสามารถใช้คําศัพท์นั้นๆ ในประโยคต่างๆ ได้ โดยมีความสัมพันธ์กันทั้งด้านการ เขียน การอ่าน และการพูด
1.2 คําศัพท์ที่ควรนํามาสอน นักการศึกษาหลายท่านได้แก่ ลาโด (Lado,1988,pp,119-120) ได้เล็งเห็นความสําคัญของการเลือกคําศัพท์ที่ควรนํามาสอน และได้เสนอแนวทางในการคักเลือกคําศัพท์มาสอนโดยสามารถสรุปได้ดังนี้
1. คําศัพท์ที่ปรากฏในหนังสือเรียนในบทอ่าน กิจกรรมการเขียน การพูด การฝึกใช้
โครงสร้างทางภาษา และการทําแบบฝึกหัดต่าง ๆ
2. คําศัพท์ที่มาจากนักเรียนเองที่เกิดจากความต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือจากข้อผิดพลาด
ในการใช้คําศัพท์ของนักเรียน
3. คําศัพท์ที่มีประโยชน์ เป็นคําศัพท์ที่นักเรียนควรรู้จัก มีความสัมพันธ์กับความสนใจ และ
ประสบการณ์ของนักเรียน และนักเรียนมีโอกาสนําไปใช้ในชีวิตประจําวัน กล่าวโดยสรุป การเลือกคําศัพท์ที่จะนํามาสอนนั้นควรพิจารณาจากคําศัพท์ใกล้ตัวของ ผู้เรียน มีประโยชน์สามารถนํามาใช้ในชีวิตประจําวันได้ และผู้สอนควรเลือกคําศัพท์ให้เหมาะสมกับระดับอายุและสติปัญญาของผู้เรียนด้วย และในบทเรียนหนึ่ง ๆควรมีคําศัพท์ให้เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
1.3 หลักการสอนคําศัพท์ นักการศึกษาหลายท่าน ได้แก่ ฟินอคเชียโร (Finocchiari,1989,pp108-109) ได้ให้ความสําคัญกับการสอนคําศัพท์ที่น่าสนใจและสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนทุกระดับดังนี้
1. ผู้สอนไม่จําเป็นต้องสอนให้นักเรียนนําคําศัพท์ทั้งหมดไปใช้เพราะคําศัพท์บางคําสอน
เพียงให้นักเรียนรู้ความหมายและออกเสียงได้อย่างถูกต้องเท่านั้น แต่ไม่ได้นําไปใช้ในการเขียนหรือการพูด
2. ผู้สอนควรสอนคําศัพท์โดยการพูดด้วยความเร็วปกติ ผู้สอนอ่านให้ผู้เรียนอ่าน ตามพร้อม
ทั้งแก้ไขเมื่อผู้เรียนอ่านผิด
3. การสอนคําศัพท์ใหม่ควรสอนในโครงสร้างประโยคที่ผู้เรียนเคยเรียนมาแล้ว และเป็น
สถานการณ์ที่นักเรียนคุ้นเคย
4. ให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้คําศัพท์ในสถานการณ์เพื่อการสื่อสาร เช่น การถาม ตอบ เป็นต้น
5. การสอนคําศัพท์แต่ละคําหลาย ๆ ครั้ง ทันที่ที่จบแต่ละบทเรียน ด้วยโครงสร้างและ
สถานการณ์ต่าง ๆ ที่สามารถนําคําศัพท์ไปใช้ได้อย่างเหมาะสม ่
6. การสอนคําศัพท์ควรสอนครั้งละ 5-7 คํา โดยมีการจัดกลุ่มคําศัพท์ที่มีความสัมพันธ์กัน
ช่วยให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้ได้ดีกวาการเรียนคําศัพท์แบบกลุ่มใหญ่
นอกจากนี้ ซิมมอร์แมน(Zimmerman,1997,p125) เสนอว่า ในบทเรียนการสอนคําศัพท์ แต่ละบทควรประกอบด้วยคุณลักษณะที่สําคัญดังนี้
1. มีวิธีการเสนอคําศัพท์ที่หลากหลาย
2. การนําเสนอคําศัพท์ในบริบทที่หลากหลาย
3. ให้ข้อมูลเกี่ยวกบศัพท์แต่ละคําอย่างเพียงพอและหลากหลาย
4. คํานึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคําศัพท์ที่สอนประสบการณ์และความรู้พื้นฐานของนักเรียน
5. การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้
ชุดฝึกทักษะ
สุดารัตน์ ไผพงศาวงศ์ (2543,หน้า52) ได้กล่าววา ชุดฝึกทักษะคือสื่อการสอนที่ครูเป็นผู้สร้างประกอบขึ้นด้วยวัสดุอุปกรณ์หลายชนิดและองค์ประกอบอื่น เพื่อให้นักเรียนศึกษาปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยครูเป็นผู้แนะนําช่วยเหลือและมีการนําหลักการทางจิตวิทยามาใช้ประกอบในการเรียนเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้รับความสําเร็จ ดังนั้นการเรียนการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ จึงเป็นการส่งเสริมให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น
หลักการที่ใช้ในการออกแบบชุดฝึกทักษะ มีดังนี้
1. ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
2. ความเหมาะสมของบทบาทของครูในการเรียนการสอน
3. ชุดการสอนสะกดคําภาษาจีนสอดคล้องกบจุดประสงค์การเรียนรู้
4. สามารถปฏิบัติได้จริงทุกขั้นตอน
5. เนื้อหามีความยากง่ายเหมาะสมกับนักเรียน
6. กิจกรรมการเรียนการสอนที่จัดไว้สอดคล้องกับเวลา
7. ความเหมาะสมของสื่อการเรียนการสอน
8. กิจกรรมการเรียนการสอนที่จัดไว้ เร้าความสนใจของนักเรียน
9. ชุดการสอนสะกดคําช่วยพัฒนาทักษะการสะกดคําของนักเรียนได้
10. ความเหมาะสมของการวัดและประเมินผล
ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถด้านความจํา
ในทางจิตวิทยาได้มีการกล่าวถึงทฤษฎีเกี่ยวกบการจําและการลืมไว้หลายทฤษฎีแต่ที่สําคัญ
สรุปได้มี 4 ทฤษฎีคือ
1. ทฤษฎีความจําสองกระบวนการ(Two –Process Theory of Memory) ทฤษฎีนี้สร้างขึ้นโดย แอตคินสัน และชิฟฟริน (Atkinson and Shiffrin) ในปีค.ศ. 1968 กล่าวถึงความจําระยะสั้นหรือความจําทันทีทันใดและความจําระยะยาวว่าความจําระยะสั้นเป็นความจํา ชั่วคราว สิ่งใดก็ตามถ้าอยู่ในความจําระยะสั้นจะต้องได้รับการทบทวนอยู่ตลอดเวลามิฉะนั้นความจําสิ่งนั้นจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ในการทบทวนนั้นเราจะไม่สามารถทบทวนทุกสิ่งที่เข้ามาอยู่ในระบบ ความจําระยะสั้น ดังนั้นจํานวนที่เราจําได้ในความจําระยะสั้นจึงมีจํากัดการทบทวนป้องกันไม่ให้ความจํา สลายตัวไปจากความจําระยะสั้น และถ้าสิ่งใดอยู่ในความจํา
ระยะสั้นเป็นระยะเวลายิ่งนาน สิ่งนั้นก็มีโอกาสฝังตัวในความจําระยะยาว ถ้าเราจําสิ่ง ใดได้ในความจําระยะเวลายิ่งนาน สิ่งนั้นก็มีโอกาสฝังตัวในความจําระยะยาว ถ้าเราจําสิ่งใดไว้ในความจํา ระยะยาวสิ่งนั้นก็จะติดอยู่ในความทรงจําตลอดไป (ชัยพรวิชชาวุธ, 2520 : 71)
2. ทฤษฎีการสลายตัว (Decay Theory) เป็นทฤษฎีการลืม กล่าวว่า การลืม เกิดขึ้นเพราะการละเลยในการทบทวน หรือไม่นําสิ่งที่จะจําไว้ออกมาใช้เป็นประจํา การละเลยจะทําให้ ความจําค่อย ๆ สลายตัวไปเองในที่สุด ทฤษฎีการสลายตัวนี้น่าจะเป็นจริงในความจําระยะสั้น เพราะในความจําระยะสั้นหากเรามิได้จดจ่อหรือสนใจทบทวนในสิ่งที่ต้องการจะจําเพียงชั่วครู่ สิ่งนั้นจะหายไปจากความทรงจําทันที (Adams, 1967 : 23 - 25)
3. ทฤษฎีการรบกวน (Interference Theory) เป็นทฤษฎีเกี่ยวกบการลืมที่ยอมรับ กันในปัจจุบันทฤษฎีหนึ่ง ทฤษฎีนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีการสลายตัว โดยกล่าววาเวลาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทําให้เกิดการลืมได้ แต่สิ่งที่เกิดในช่วงดังกล่าวจะเป็นสิ่งคอยรบกวนสิ่งอื่น ๆ ในการจําการรบกวนนี้แยกออกเป็น 2 แบบ คือ การตามรบกวน (Proactive Interference) หรือการรบกวนตามเวลา หมายถึง สิ่งเก่า ๆ ที่เคยประสบมาแล้วหรือจําได้อยู่แล้วมารบกวนสิ่งที่จะจําใหม่ทําให้จําสิ่งเร้าใหม่ไม่ ค่อยได้อีกแบบของการรบกวนก็คือ การย้อนรบกวน (Retroactive Interference) หรือการรบกวนย้อน เวลา หมายถึงการพยายามจําสิ่งใหม่ทําให้ลืมสิ่งเก่าที่จําได้มาก่อน (Adams, 1980 : 299 - 307) จึงกล่าวได้ ว่าทฤษฎีการลืมนี้เกิดขึ้นโดยความรู้ใหม่ไปรบกวนความรู้เก่า ทําให้ลืมความรู้เก่าและความรู้เก่าก็สามารถไปรบกวนความรู้ใหม่ได้ด้วย
4. ทฤษฎีการจัดกระบวนการตามระดับความลึก(Depth – of –Processing Theory) ทฤษฎีนี้สร้างขึ้นโดย เครก และลอกฮาร์ท (Craik and Lockhart) ในปี 1972 ซึ่งขัดแย้งกบความคิดของ แอตคินสัน และชิฟฟริน ที่กล่าวว่าความจํามีโครงสร้างและตัวแปรสําคัญของความจําในความจําระยะยาวก็ คือ ความยาวนานของเวลาที่ทบทวนสิ่งที่จะจําในความจําระยะสั้น แต่เครก และลอกฮาร์ท มีความคิดว่าความจําไม่มีโครงสร้างและความจําที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีเวลาทบทวนในความจําระยะสั้นนาน แต่เกิดขึ้นเพราะความซับซ้อนของการเข้ารหัสที่ซับซ้อน หรือการโยงความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องการจํา ยอม อาศัยเวลา แต่ เวลาดังกล่าวไม่ใช่ เพื่อการทบทวน แต่ เพื่อการระลึกหรือซับซ้อนของการกระทํากับสารที่เข้าไป (การเข้ารหัส) ถ้ายิ่งลึก(ซับซ้อน) ก็จะยิ่งจําได้มาก นั่นคือต้องใช้เวลามากด้วย (ไสว เลี่ยมแก้ว, 2528 : 20 - 23)
เอกสารที่เกี่ยวกับความสามารถด้านความจํา
1. หลักการรับรู้ภาพและสัญลักษณ์ มนุษย์สามารถจําภาพสารพัดชนิดที่ผ่านมาได้และภาพต่าง ๆ ถูกเก็บในจิตสํานึก ซึ่งมนุษย์สามารถระลึกออกมาได้อยางถูกต้องโดยอาศัยหลัก 3 ข้อ คือ (พงษ์สวัสดิ์ ลาภบุญเรือง, 2516 : 12, อ้างจากFleming and Sheikhian, 1972)
1. เมื่อมนุษย์ได้เห็นภาพใด ๆ เข้ายอมแปลความหมายออกมาเป็นถ้อยคําหรือรูปลักษณะต่าง ๆ ตามแต่ความทรงจําที่เขาสะสมไว้
2. มนุษย์จะตอบสนองสิ่งเร้าใหม่ที่เป็นภาพหรือสัญลักษณ์ในลักษณะที่ไม่เป็นภาษาหรือจินตนาการ
ก่อน หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่งจะสามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
3. มนุษย์มิได้เก็บความจําไว้ในระบบประสาท แต่คงอยู่เฉพาะในรูปแบบของการรับรู้ เช่น เมื่อดูภาพหนึ่งที่มีทั้งภาพและคํา เขาจะนึกถึงภาพหรือคําอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่ว่าอย่างไหน จะเด่นชัดกว่ากัน ซึ่งหลักข้อนี้สนับสนุนสิ่งเร้าที่เป็นภาพและคําคู่กัน
เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. ศุภชัย แจ้งใจ ,2552 ได้ทําการวิจัยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนภาษาจีนของผู้เรียนพบว่าความรู้ พื้นฐานของผู้เรียนที่แตกต่างกันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเรียนภาษาจีนของผู้เรียน
2. ธีรดา จิตรบํารุง ,2553ได้ทําการวิจัยศึกษาการเขียนตัวอักษรจีนของนักเรียนโดยใช้ชุดฝึกการเขียน พบวา การใช้ชุดฝึกที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับพื้นความรู้ทางภาษาจีนมีผลทําให้นักเรียนมีพัฒนาการด้านลายมือเขียนที่ดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่มีความพึงพอใจรูปแบบการเขียนตัวอักษรจีนในแบบของผลตนเองและการพัฒนาของตนเองมีความสามารถในการประเมินผลงานผู้อื่นและกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น
บทที่ 3
วิธีดําเนินการ
ขอบเขตการวิจัย
1. กลุ่มตัวอย่างกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนท่าเรือพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จํานวน 10 คน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
4.1 แบบทดสอบก่อน- หลังการวิจัย (Pre-test ,Post-test)
4.2 แบบฝึกทักษะการฝึกเขียนอักษรจีน
4.3 แบบฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์จีน ด้วยการวาดภาพ การเขียนซํ้าอักษรจีน พินอิน คําแปล
4.4 ใบความรู้
การทําวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาและส่งเสริมทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีน โดยชุดฝึกทักษะด้านการจดจําคําศัพท์ ซึ่งได้ทําการศึกษาวิจัยกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จํานวน 10 คน โรงเรียนท่าเรือพิทยาคม ในรายวิชาภาษาจีน 1 โดยได้ทําการวิจัยจํานวน 2 ครั้ง ๆ ละ 2 ชั่วโมง ผู้วิจัยได้ดําเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่
ตอนที่1 ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหารายวิชา
1. ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนตามเนื้อหารายวิชา
2. คัดเลือกหน่วยการเรียนรู้เพื่อจัดทําแบบฝึกทักษะด้านการจดจําคําศัพท์
3. ศึกษาค้นคว้าเนื้อหาในรายวิชาที่เกี่ยวข้อง
4. เขียนแผนการจัดการเรียนรู้
ตอนที่ 2 การสร้างชุดการสอน
1. ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น
ผู้วิจัยทําการศึกษารายละเอียดของเนื้อหาเกี่ยวกบคําศัพท์ภาษาจีนที่ยากต่อการจดจําทั้งในเรื่องการเขียน
ตัวอักขระ และความหมาย ตลอดจนศึกษาเทคนิคและวิธีการสร้างชุดการสอนจาก เอกสารต่างๆ รวมทั้งคู่มือครู เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดพฤติกรรมที่ต้องการ จากนั้นผู้วิจัยได้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการสร้างชุดฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีน
2. จัดทําชุดฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีน จํานวน 2 ชุดซึ่งประกอบไปด้วย แบบทดสอบ ความรู้ก่อนและหลังเรียน , แบบฝึกคัดคําศัพท์จีน , แบบฝึกวาดรูปพร้อมฝึกจดจําตัวเขียนจีน พินอินและความหมายของคําศัพท์ เนื่องจากผู้วิจัยได้แบ่งหน่วยการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ในการพัฒนาการสะกดคําภาษาจีน โดยใช้ชุดการสอนเป็นนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ดังนั้นนําหน่วยการเรียนรู้มาเป็น กรอบในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยผู้วิจัยได้ทําเป็นกำหนดการสอนรายแผน
ตอนที่ 3 การดําเนินการวิจัย
1. เกริ่นเข้าสู่บทเรียน
2. ให้นักเรียนทําแบบทดสอบก่อนเรียน( pre-test)
3. อธิบายเนื้อหาบทเรียน โดยเริ่มจากคําศัพท์ทั้งหมดที่ต้องเรียนในบทนี้ ต่อจากนั้นจะเน้นอธิบาย ความหมายและวิธีการเขียนคําศัพท์ที่เขียนยาก
4. นําคําศัพท์ที่เขียนตัวจีนยากมาทําการวิจัย โดยเขียนลําดับขีดให้นักเรียนดู ฝึกให้นักเรียนอ่าน ออกเสียงพินอิน อธิบายความหมายภาษาไทยรวมทั้งยกตัวอย่างการนําไปใช้โดยการแต่งประโยคและให้นักเรียนทดลองแต่งประโยค
5. เมื่อนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในคําศัพท์ที่กำหนดแล้วสามารถอ่านออก เขียนได้ รวมทั้งเข้าใจความหมายดีแล้ว ให้นักเรียนทําชุดฝึกทักษะการจดจําคําศัพท์ภาษาจีน ซึ่งประกอบด้วย แบบฝึกคัดคําศัพท์, แบบฝึกวาดรูปพร้อมฝึกจดจําตัวเขียนจีน พินอินและความหมายของคําศัพท์
6. ให้นักเรียนทําแบบทดสอบหลังการเรียนเนื้อหา (Post-test)
7. ให้นักเรียนแลกเปลี่ยนกันตรวจแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนกับเพื่อน ๆ โดยผู้สอนถามคําถามและผู้เรียนช่วยกันตอบคําตอบ เมื่อตรวจเสร็จรวบรวมคะแนนและส่งคืนแบบทดสอบให้แก่เจ้าของเพื่อให้เพื่อนแต่ละคนทราบผลการเรียนของตนเองก่อนและหลัง สุดท้ายนักเรียนคืนแบบทดสอบที่ตรวจเสร็จให้ผู้สอนเพื่อประเมินการเรียนรู้
8. ผู้สอนสรุปวิธีการหรือเทคนิคที่ใช้ในการจดจําคําศัพท์ที่ยากและซับซ้อนในเรื่องการเขียนและเน้น
ยํ้าเพื่อให้นักเรียนได้นําวิธีนี้ไปใช้ได้จริง
ตอนที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์จากแบบฝึกหัด ทดสอบความจํา จํานวน 2 ชุด ขอนักเรียน 10 คน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น